บางสิ่งบางอย่าง หรือหลายสิ่งหลายอย่างรวมกัน ที่ทำให้ใจเราเศร้าหมอง ไม่สดชื่น ไม่เบิกบาน อุปกิเลส 16


ถ้าเราลองพิจารณาดูใจของเราเล่นๆ คือ เพียงแค่ลองมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ก็ตาม จะคิด จะพูดหรือ จะทำ และเมื่อเราตั้งสมาธิพิจารณา เมื่อสงบสมาธิเราตั้งมั่น เราจะเห็นคือเกิดปัญญาเห็นแจ้งในใจ ทำให้เรารู้และเห็นอาการของจิต มีลักษณะต่าง ๆ  


และมันจะเกิดขึ้นในลักษณะต่างกัน ตามเฟกเตอร์หรือองค์ประกอบ เช่น สถานการณ์ บุคคล หรือสิ่งแวดล้อม


ทำให้เข้าใจจริตนิสัยของตัวเองมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจตัวเอง ยอมรับตัวเองตามความเป็นจริง เน้นตามความเป็นจริง สิ่งนี้ก็จะเป็นพื้นฐานในการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง อย่างดีเยี่ยม




เมื่อมีสติรู้สึกตัวแล้ว ก็จะไม่หลงไปตามอารมณ์  หรือหลงก็รู้ตัวว่าหลงอยู่  มันจะมีความรู้สึกตัวเองขึ้นมาทันที  จิตใต้สำนึกหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ก็จะทำงานทันทีโดยอัตโนมัติ


กิเลสเป็นอาคันตุกะคือผู้ที่จรมา เข้ามาครอบงำจิต ทำให้จิตใจเศร้าหมอง 


กิเลส นั้น แปลว่า เศร้าหมอง 
มีคำถามว่า อะไรเศร้าหมอง?  
: ก็ใจนั่นแหละที่เศร้าหมอง 


อกุศลมูล คือรากหรือเหง้าของกิเลส มีอันได้แก่ 
โลภะ คือความละโมบ อยากได้
โทสะ คือความโกรธ โมโหโทสัน
โมหะ ความหลงสติ ทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง 

เมื่อมีเหตุปัจจัยประสมประสานกันแล้วก่อตัวขึ้นมาเป็นอุปนิสัยต่าง ๆ มี 16 ลักษณะเรียกว่า อุปกิเลส 16 ได้แก่


๑. อภิชฌาวิสมโลภะ คือความละโมภ อยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างไม่รู้จักพอ เห็นแก่ได้จนลืมตัว เป็นอาการอย่างหนึ่งของโลภะ


๒. พยาบาท คือความคิดร้าย มุ่งร้าย คืมุ่งจะทำร้ายเขา ใครพูดไม่ถูกใจก็คิดตำหนิเขา คิดจะทำร้ายฆ่าเขาก็มี บางครั้งทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาตำหนิตัวเอง ทำร้ายตัวเอง จนฆ่าตัวตายก็มี
    ซึ่งเป็นเพราะอำนาจพยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ


๓. โกธะ คือความโกรธ มีอะไรมากระทบก็โกรธ เป็นลักษณะโกรธง่าย แต่เมื่อหายแล้วก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือไม่ผูกใจเจ็บ ไม่พยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ


๔. อุปนาหะ คือการผูกโกรธ 
    เช่นใครพูดอะไร ทำอะไรให้เกิดความโกรธแล้วจะผูกใจเจ็บ เก็บไว้ ไม่ปล่อย ไม่ลืม เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น กระทบอารมณ์เมื่อไร ก็เอาเรื่องเก่ามาคิดรวมกันคิดทวนเรื่องในอดีต ว่าเขาเคยทำไม่ดีกับเราขนาดไหน เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ


๕. มักขะ คือการลบหลู่คุณท่าน ปิดบังความดีของผู้อื่น ลบหลู่ความดีของผู้อื่น เช่น เขาให้ของแก่เรา แทนที่จะขอบคุณกลับนึกตำหนิเขาว่า เอาของไม่ดีมาให้ หรือเมื่อมีใครพูดถึงความดีของเขา เราทนไม่ได้ เราไม่ชอบ จึงยกเรื่องที่ไม่ดีของเขามาพูด เพื่อปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้น เป็นต้น


๖. ปลาสะ คือการตีเสมอ ยกตัวเทียมท่าน ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน แต่ชอบยกตัวเองดีกว่าเขา มักแสดงให้เขาเห็นว่าเราคิดเก่งกว่า รู้ดีกว่า ถ้าให้เราทำ เราจะทำให้ดีกว่าเขาได้


๗. อิสสา คือความริษยา เห็นเขาได้ดี ทนไม่ได้ เมื่อเห็นเขาได้ดีมากกว่าเรา เขาได้รับความรักความเอาใจใส่มากกว่าเรา เรารู้สึกน้อยใจ อยากจะได้เหมือนอย่างเขา ความจริงเราอาจจะมีมากกว่าเขาอยู่แล้ว หรือเรากับเขาต่างก็ได้รับเท่ากัน แต่เราก็ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจ ทนไม่ได้ก็มี


๘. มัจฉริยะ คือความตระหนี่ ขี้เหนียว เสียดายของ ยึดในสิ่งของที่เราครอบครองอยู่อย่างเหนียวแน่น อยากแต่จะเก็บเอาไว้ ไม่อยากให้ใคร


๙. มายา คือเจ้าเล่ห์หลอกลวง ไม่จริงใจ พยายามแสดงบทบาทตัวเองเกินความจริง หรือจริงๆ แล้วเรามีน้อยแต่พยายามแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจว่ามั่งมี เช่น ด้วยการแต่งตัว กินอยู่อย่างหรูหรา หรือบางกรณี ใจเราคิดตำหนิติเตียนเขา แต่กลับแสดงออกด้วยการพูดชื่นชมอย่างมาก หรือบางทีเราไม่ได้มีความรู้มาก แต่คุยแสดงว่ารู้มาก เป็นต้น


๑๐. สาเถยยะ คือการโอ้อวด หลอกลวงเขา ชอบอวดว่าดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา พยายามแสดงให้เขาเห็น เพื่อให้เขาเกิดอิจฉาเรา เมื่อได้โอ้อวดแล้วมีความสุข


๑๑. ถัมภะ คือความดื้อ ความกระด้าง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ใครแนะนำอะไรให้ก็ไม่ยอมรับฟัง


๑๒. สารัมภะ คือการแข่งดี มุ่งแต่จะเองชนะเขาอยู่ตลอด จะพูดจะทำอะไรต้องเหนือกว่าเขาตลอด เช่นเมื่อพูดเถียงกันก็อ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่อเอาชนะให้ได้ ถึงแม้ความจริงแล้วตัวเองผิด ก็ไม่ยอมแพ้


๑๓. มานะ คือความถือตัว ทะนงตน


๑๔. อติมานะ คือการดูหมิ่นท่าน ความถือตัวว่าเราดียิ่งกว่าเขา ทำให้ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น


๑๕. มทะ คือความัวเมา หลงว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย หลงในอำนาจ หลงในตำแหน่ง คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปแล้วทำอะไรเกินเหตุ


๑๖. ปมาทะ คือความประมาท เลินเล่อ ไม่คิดให้รอบคอบ อาการที่ขาดสติ ขาดปัญญา


สิ่งที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นกิเลสที่สั่งสมมาเป็นภพเป็นชาติตลอดสังสารวัฏที่หาเบื้องต้นและเบื้อปลายมิได้


สิงที่จะทำให้ผู้ที่ต้องการเห็นตนเองรู้จักตนเอง เพียงมีสติเจริญให้มาก ทำให้มาก ทำให้เป็นประดุจยานต์ เป็นที่ตั้งของสติ นั้นคือสติปัฏฐานสี่ เพิ่งศึกษาและทำความเข้าใจให้เห็นแจ้ง. 


จะเป็นพลานิสงส์อย่างมากสุดที่จะประมาณได้.